การแต่งฉันท์บาลี
- เกริ่นนำ
- ความหมายของฉันท์
- แผนผังฉันท์ต่างๆ
- คณะฉันท์
- คณะฉันท์วรรณพฤติ
- คณะฉันท์มาตราพฤติ
- หลักและวิธีการแต่ง
- สำนวนตัวอย่างการแต่งฉันท์
เกริ่นนำ
การแต่งฉันท์บาลี เป็นวิชาเรียนในชั้นประโยค ป.ธ.8 อันถือเป็นวิชาสุดยอดวิชาหนึ่ง ในการเรียนบาลี เป็นการแต่ง เรียบเรียง ร้อยกรองคำบาลีให้มีจำนวนคำ ครุลหุ ตามบังคับฉันท์ ให้ได้ความหมายที่ต้องการ ตามที่โจทย์กำหนด รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นธรรมเนียมนิยมในการแต่งอีก
ฉะนั้น นักเรียนในชั้นนี้จึงมีความรู้สึกหนักใจในความยากของวิชา เพราะลำพังการแต่งไทยให้เป็นบาลี ด้วยประโยค ตามสำนวนต่างๆ ตามปกติ ก็มิใช่ของง่ายแล้ว การต้องมาแต่งให้เป็นฉันท์ดังกล่าว ก็นับว่ายากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ในความยากนั้น ก็ยังมีส่วนที่ง่ายอยู่ ก็คือ ในเนื้อหาภาษาไทยประมาณ 1 หน้ากระดาษนั้น นักเรียนไม่จำเป็นต้องแต่งไทยเป็นบาลี ชนิดคำต่อคำ แต่ให้สรุปย่อเนื้อหาที่สำคัญ มาแต่งเป็นฉันท์ ให้ได้ตามกำหนด จำนวน และชนิดของฉันท์ เท่านั้น (ถึงแม้อาจจะมีนักเรียนที่สามารถแต่งฉันท์แบบถอดมาทุกถ้อยคำ ทุกตัวอักษรได้ แต่ก็คงจะหมดเวลาสอบเสียก่อนที่จะทำเสร็จ)
ความหมายของฉันท์
ฉันท์ แปลว่า ปกปิดโทษ คือ ปกปิดความไม่ไพเราะ (ในการสวดเป็นต้น)
คำประพันธ์ร้อยแก้วต่างๆ ถึงแม้จะมีความหมายดี มีคุณค่า แต่เมื่อนำมาสวดแบบสรภัญญะ เป็นต้น ฟังแล้วย่อมไม่ไพเราะ เพราะไม่มีรูปแบบ ลีลา ของถ้อยคำที่แน่นอน เป็นจังหวะจะโคน ผนวกกับท่วงทำนองในการสวด อันจะช่วยโน้มน้อมจิตของผู้รับฟังให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเพิ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อกำหนดจำนวนคำของแต่ละบาท แต่ละวรรค ทั้งเสียงสั้นเสียงยาว เสียงหนักเสียงเบา อันเป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง แล้ว การสวดสรภัญญะเป็นต้นนั้น ย่อมไพเราะ น่าฟัง ชวนติดตามยิ่งขึ้น
ฉันท์ มีวิเคราะห์ว่า อวชฺชํ ฉาเทตีติ ฉนฺทํ ธรรมชาตที่ปกปิดเสียซึ่งโทษ เรียกว่า ฉันท์
ฉันท์ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น พันธะ คาถา วุตติ (พฤติ)* ซึ่งใช้เป็นไวพจน์ของกันได้
ฉันท์ ประกอบด้วย ทีฆะ รัสสะ ครุ ลหุ ศัพท์ บท บาท คาถา
* คำว่า พฤทธิ์ น่าจะเป็น พฤติ เช่น บาลี: มตฺตาวุตฺติ, สันสกฤต: มาตฺราวฺฤตฺติ.
ส่วนคำว่า พฤทธิ์ ในบาลี: วุทฺธิ, สันสกฤต: วฺฤทฺธิ. คำที่ใช้บ่อย เช่น ปวุตฺติ/ปฺรวฺฤตฺติ/ประพฤติ
- ทีฆะ คือ สระเสียงยาว เช่น วาจา สีโห เป็นต้น
- รัสสะ คือ สระเสียงสั้น เช่น ปติ มุนิ เป็นต้น
- ครุ คือ เสียงหนัก ได้แก่ สระเสียงยาว และสระเสียงสั้นที่มีสังโยคคือตัวสะกด มี 4 ประเภท คือ
- สังโยคาทิครุ อักขระ/คำ มีสังโยค เช่น วํโส ธมฺโม กตฺวา เป็นต้น
- ทีฆครุ อักขระเสียงยาว เช่น โลโป วาจา เป็นต้น
- ปาทนฺตครุ อักขระปลายบาท คือ พยางค์สุดท้ายของบาท แม้จะกำหนดให้เป็นครุ แต่ก็อาจแต่งเป็นลหุได้ เรียกว่า ปาทนฺตครุ
เช่น ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ พยางค์ที่ขีดเส้นใต้ คือปาทนฺตครุ - นิคฺคหิตครุ อักขระมีนิคคหิต เช่น อุทกํ วรํ เป็นต้น
- ลหุ คือ เสียงเบา ได้แก่ สระเสียงสั้น ที่ไม่มีสังโยค เช่น ปติ มุนิ เป็นต้น
- ศัพท์ คือ คำที่ไม่ได้ประกอบวิภัตติ เช่น ภนฺเต จ โข เป็นต้น (หรือคำที่ยังไม่ได้ประกอบวิภัตติ เช่น ปุริส เทว เป็นต้น)
- บท คือ คำที่ประกอบวิภัตติแล้ว เช่น ปุริสา เทโว เป็นต้น
- พยางค์ คือ หน่วยเสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง เรียกว่า 1 พยางค์ เช่น คำว่า อาราเม มี 3 พยางค์, คำว่า อาจริยา มี 4 พยางค์ เป็นต้น
- บาท คือ กลุ่มคำที่มีจำนวนพยางค์ครบตามที่กำหนดในฉันท์นั้นๆ เช่น ฉันท์ปัฐยาวัตร มีบาทละ 8 พยางค์*, ฉันท์อินทรวิเชียร มีบาทละ 11 พยางค์ เป็นต้น
- คาถา คือ จำนวน 4 บาทนั้นเอง เรียกว่า 1 คาถา ถ้ามี 2 บาท ก็เรียกว่า กึ่งคาถา/ครึ่งคาถา (อฑฺฒคาถา) 6 บาท เรียกว่า 1 คาถากึ่ง เป็นต้น
* บางทีก็พูดกันว่า มีบาทละ 8 "คำ" แต่ความหมายของคำว่า "คำ" ในภาษาไทย ยังดิ้นได้ ในที่นี้ จึงขอใช้คำว่า "พยางค์" เป็นหลัก เพื่อความชัดเจน
ประเภทของฉันท์
- ฉันท์วรรณพฤติ (วณฺณวุตฺติ) คือ ฉันท์ที่กำหนดจำนวนพยางค์ (อักษร/คำ) ในบาทหนึ่งๆ เช่น ปัฐยาวัตร บาทละ 8 พยางค์, อินทรวิเชียร 11 พยางค์ เป็นต้น
- ฉันท์มาตราพฤติ (มตฺตาวุตฺติ) คือ ฉันท์ที่กำหนดมาตรา คือจำนวนครุลหุ ในบาทหนึ่งๆ
ฉันท์วรรณพฤติ เป็นที่นิยมกว่า เพราะฟังง่าย เข้าใจง่าย
ส่วนฉันท์มาตราพฤติ ก็เป็นฉันท์ชั้นสูงประณีตยิ่ง ต้องใช้จังหวะเสียงหนัก-เบาในการว่าจริงๆ
ฉันท์ที่กำหนดให้เป็นหลักสูตรในการเรียนบาลี ชั้นประโยค ป.ธ.8 นั้น คือ ฉันท์วรรณพฤติ 6 ฉันท์ คือ
- ปัฐยาวัตร (ปฐฺยาวตฺตํ)
- อินทรวิเชียร (อินฺทวชิรา)
- อุเปนทรวิเชียร (อุเปนฺทวชิรา)
- อินทรวงศ์ (อินฺทวํโส)
- วังสัฏฐะ (วํสฏฺฐา)
- วสันตดิลก (วสนฺตติลกา)
คณะฉันท์
คณะ คือ กลุ่มคำที่ประกอบด้วยด้วยครุและลหุ
- คณะฉันท์วรรณพฤติ มีคณะละ 3 พยางค์ มีทั้งหมด 8 คณะ
- คณะฉันท์มาตราพฤติ มีคณะละ 4 มาตรา มีทั้งหมด 5 คณะ
คณะฉันท์วรรณพฤติ
ตัวอักษรเหล่านี้ คือ ม น ส ช ต ภ ร ย แต่ละตัวสมมุติให้เป็นชื่อคณะฉันท์ เช่น มคณะ นคณะ เป็นต้น รวมเป็นคณะฉันท์ 8 คณะ
สัญญลักษณ์ที่ใช้แทน ครุ และ ลหุ ที่ใช้กันมา คือ " ุ" (สระอุ) แทนลหุ และ " ั " (ไม้หันอากาศ) แทนครุ
(เวลาเขียน จะวางระดับสระอุกับไม้หันอากาศให้เสมอกัน ประมาณกลางบรรทัด)
ในที่นี้ ขอใช้สัญญลักษณ์ • แทน ลหุ และ — แทน ครุ เพื่อให้ดูง่ายและเขียนง่าย (ในหน้าจอคอมพิวเตอร์)
คณะฉันท์วรรณพฤติ มีคณะละ 3 พยางค์ มีทั้งหมด 8 คณะ ดังนี้ คือ ม น ส ช ต ภ ร ย
โดยนำพระนามของพระพุทธเจ้ามาเป็นตัวอย่างคำแสดงครุลหุ
สพฺพญฺญู โม | สุมุนิ โน | สุคโต โส | มุนินฺท โช | |||||||||||||||
มาราชิ โต | มารชิ โภ | นายโก โร | มเหสี โย | |||||||||||||||
— | — | — | • | • | • | • | • | — | • | — | • | |||||||
สพฺ | พญฺ | ญู | โม | สุ | มุ | นิ | โน | สุ | ค | โต | โส | มุ | นินฺ | ท | โช | |||
— | — | • | — | • | • | — | • | — | • | — | — | |||||||
มา | รา | ชิ | โต | มา | ร | ชิ | โภ | นา | ย | โก | โร | ม | เห | สี | โย |
การเรียกชื่อคณะฉันท์ทั้ง 8 ตามพระนามของพระพุทธเจ้า
สพฺพญฺญู โม มคณะ
สุมุนิ โน นคณะ
สุคโต โส สคณะ
มุนินฺท โช ชคณะ
มาราชิ โต ตคณะ
มารชิ โภ ภคณะ
นายโก โร รคณะ
มเหสี โย ยคณะ
คณะฉันท์มาตราพฤติ
คณะฉันท์มาตราพฤติ นับคำครุเป็น 2 มาตรา ลหุเป็น 1 มาตรา มีคณะละ 4 มาตรา มีทั้งหมด 5 คณะ ดังนี้ คือ ม น ส ช ภ
สพฺพญฺญู โม มคณะ
สุมุนิ โน นคณะ
สุคโต โส สคณะ
มุนินฺท โช ชคณะ
มารชิ โภ ภคณะ
จำนวนบาทคาถาและรูปแบบในการแต่งฉันท์ มีกฎเกณฑ์ว่า
- การแต่งฉันท์ ต้องแต่งอย่างน้อย 1 คาถา จึงจะนับว่าเป็น "ฉันท์" น้อยกว่านั้นไม่ได้ ถ้าเกิน 1 คาถา แล้วแต่งไม่ครบคาถา บาทที่เกินเป็นเศษมานั้น ก็ต้องแต่งให้มีเป็นจำนวน 2 บาทเสมอ ห้ามแต่งให้มีเศษเพียง 1 หรือ 3 บาท
- เมื่อเริ่มแต่งฉันท์ชนิดใด ต้องแต่งฉันท์ชนิดนั้นจนจบอย่างน้อย 1 คาถา ห้ามแต่งไม่ครบคาถาแล้วไปเริ่มฉันท์ชนิดอื่นต่อ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าแต่งฉันท์หลายชนิดรวมกัน ต้องแต่งฉันท์แต่ละชนิดให้ได้อย่างน้อย 1 คาถาเสมอ
- ฉันท์แต่ละชนิดมีรูปแบบในการวางบาทคาถาไว้ เช่น วางซ้าย-ขวา-ซ้าย-ขวา หรือ วางจากบนลงล่าง ต้องแต่งให้ถูกต้อง
การเรียงศัพท์ในการแต่งฉันท์
การเรียงศัพท์ในการแต่งฉันท์ ไม่เคร่งครัดเหมือนการแต่งประโยคธรรมดา จะเรียงอย่างไร หากไม่ผิดคณะฉันท์แล้วเป็นอันใช้ได้ (แต่ก็มิใช่เรียงข้ามประโยคจนสับสน จับใจความไม่ได้) ยกเว้นแต่นิบาตต้นข้อความ และ เต เม โว โน (โน ปุริสสัพพนาม) เท่านั้น ที่จะต้องเรียงไว้หลังบทอื่นเสมอ
ฉันท์ชนิดต่างๆ
ปัฐยาวัตรฉันท์
ปัฐยาวัตร แปลว่า คาถาที่สวดเป็นทำนองจตุราวัตร คือหยุดทุก 4 คำ
อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ห้าม ส-นคณะ | ยคณะ | ห้าม ส-นคณะ | ชคณะ | ||||||||||||||
พยางค์ที่บังคับครุ-ลหุ | [ • | • ] | • | — | — | [ • | • ] | • | — | • | |||||||
พยางค์ที่ | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | |
อ | เส | ว | นา | จ | พา | ลา | นํ | ปณฺ | ฑิ | ตา | นญฺ | จ | เส | ว | นา | ||
ปู | ชา | จ | ปู | ช | นี | ยา | นํ | เอ | ตมฺ | มงฺ | ค | ล | มุตฺ | ต | มํ | ||
ส | เม | สุ | สินฺ | ธุ | โต | เช | น | ปฐฺ | ยา | วตฺ | ตํ | ป | กิตฺ | ติ | ตํ |
บาทคาถาด้านซ้ายมือ (เรียกว่าบาทขอน) พยางค์ที่เหลือ ไม่บังคับครุ-ลหุ | บาทด้านขวามือ (เรียกว่าบาทคู่) พยางค์ที่เหลือ ไม่บังคับครุ-ลหุ | |
• แทน ลหุ (เสียงเบา สั้น ไม่มีสังโยค) — แทน ครุ (เสียงหนัก ยาวหรือสั้น มีสังโยค) |
- ปัฐยาวัตร คาถาหนึ่ง มี 4 บาท บาทละ 8 พยางค์
- พยางค์ที่ 2 3 4 ของทุกบาท ห้ามเป็น ส-นคณะ
พยางค์ที่ 5 6 7 ของบาทซ้าย ลง ยคณะ พยางค์ที่ 5 6 7 ของบาทขวา ลง ชคณะ - พยางค์ที่ 1 และ 8 ของทุกบาท จะเป็นครุหรือลหุก็ได้ คือ เรียกกันว่า อักษรลอย/พยางค์ลอย (คือไม่อยู่ในคณะฉันท์)
- พยางค์สุดท้าย (8) แม้เป็นลหุ ก็เรียกว่า ครุ (ปาทันตครุ)
- บางบาท อาจจะมี 9 พยางค์บ้างก็ได้ ไม่ถือว่าผิดเสียทีเดียว ยังใช้ได้อยู่ เรียกว่า นวกฺขริก* (อักษร 9 ตัว)
- ถัดจากพยางค์ที่ 1 ในบาทขอน (1, 3) นิยม รคณะ และถัดจากพยางค์ที่ 1 ในบาทคู่ (2, 4) นิยม มคณะ ถือว่าไพเราะดีมาก
* อักษร ในเรื่องฉันท์นี้ หมายถึงพยางค์หนึ่ง ไม่ใช่อักขระตัวหนึ่งๆ
อินทรวิเชียรฉันท์
อินทรวิเชียร แปลว่า สายฟ้า(อาวุธ)ของพระอินทร์
หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลาของเสียงครุ-ลหุ งดงามดังเพชรของพระอินทร์ บ้าง
ฉันท์มีครุหนักมากเหมือนคทาเพชรของพระอินทร์ เพราะมีตคณะ เรียงกัน ๒ คณะ บ้าง
คณะ | ตคณะ | ตคณะ | ชคณะ | พยางค์ลอย | |||||||
พยางค์ที่บังคับครุ-ลหุ | — | — | • | — | — | • | • | — | • | — | —/• |
พยางค์ที่ | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
อินฺ | ทา | ทิ | กา | ตา | ว | ชิ | รา | ช | คา | โค | |
โย | จกฺ | ขุ | มา | โม | ห | ม | ลา | ป | กฏฺ | โฐ | |
สา | มํ | ว | พุทฺ | โธ | สุ | ค | โต | วิ | มุตฺ | โต |
- อินทรวิเชียร คาถาหนึ่ง มี 4 บาทๆ ละ 1 บรรทัด บาทหนึ่งมี 11 พยางค์
- พยางค์ที่ 1 2 3 เป็น ตคณะ พยางค์ที่ 4 5 6 เป็น ตคณะ พยางค์ที่ 7 8 9 เป็น ชคณะ
- 2 พยางค์สุดท้าย ของทุกบาท เป็นอักษรลอย/พยางค์ลอย (คือไม่อยู่ในคณะฉันท์)
- พยางค์เกือบสุดท้าย (10) แม้เป็นอักษรลอย ไม่กำหนดครุ/ลหุ แต่ก็ไม่พึงเป็นลหุ เพราะถือเป็นครุโทษ
- พยางค์สุดท้าย (11) แม้เป็นลหุ ก็เรียกว่า ครุ (ปาทันตครุ)
- มี ยติ 5 และ 6 คือเวลาสวด ให้หยุดครั้งแรกที่อักษรที่ 5 และหยุดครั้งต่อไปอีก 5 อักษร คือตัวสุดท้ายบาท
แนวทางการแต่งฉันท์ 5 ขั้นตอน
- อ่านเรื่องที่กำหนด ให้เข้าใจ
- ย่อความ จับประเด็นสำคัญของเรื่อง
- วางแผนการแต่ง
- ดำเนินการแต่ง
- ตรวจสอบความถูกต้อง
บรรณานุกรม
- พระเมธีปริยัตโยดม ป.ธ.9, สำนวนแต่งฉันท์ภาษามคธ
- พระมหากัณหา ปิยสีโล ป.ธ.9, แต่งแปลบาลี
- พระมหาอุทัย ภูริเมธี ป.ธ.9, ฉันทกรณวิธี และตัวอย่างสำนวนวิชาแต่งฉันท์
- ชรินทร์ จุลคประดิษฐ์ ป.ธ.9, แต่งแปลบาลี 1-2
ความคิดเห็น